รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังจะบูมขึ้นในตลาดรถยนต์เมืองไทยเร็วๆ นี้ ซึ่งก่อนถึงช่วงเวลานั้นเราอยากให้ผู้อ่านทุกคนได้รับทราบถึง 4 ข้อควรรู้หากคิดจะซื้อรถชนิดดังกล่าวมาใช้งาน
ย้อนกลับไปราว 5 ปีก่อน รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ยังเป็นของใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวไทย ที่ติดภาพว่ามีเฉพาะในรถยนต์แบรนด์หรูสัญชาติยุโรปเท่านั้น ทว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปรถรักษ์โลกชนิดดังกล่าวจะกลายเป็นสะพานเชื่อมให้ผู้คนที่ยึดติดกับรถเครื่องสันดาป ยอมเปิดใจซื้อหาใช้รถลูกผสมเครื่องยนต์พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรีลูกโต ก่อนจะข้ามเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า 100% แบบเต็มตัว
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อรถปลั๊กอินไฮบริด เราจึงจะมาบอกกล่าวถึง 4 ข้อควรรู้สำหรับคนที่กำลังคิดอยากซื้อรถชนิดนี้ เอาล่ะหากพร้อมแล้วมาร่วมทำเปิดโลกความรู้ใหม่นี้ไปพร้อมกัน
1.รถปลั๊กไฮบริดชาร์จไฟประจำ = ประหยัดเงินสูงสุด
หากคุณต้องการประหยัดเงินค่าเดินทางประจำวันเมื่อขับรถปลั๊กอินไฮบริด สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อกลับถึงบ้านก็คือเสียบปลั๊กชาร์จไฟทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชุดชาร์จติดรถหรือตู้ชาร์จ Wallbox ที่จ่ายเงินติดตั้งต่างหาก กรณีที่คุณขับรถไปกลับบ้านที่ทำงานในระยะต่อวันไม่เกิน 30 กม. รถ PHEV ช่วยให้คุณขับรถโดยไม่เสียน้ำมันแม้แต่หยดเดียว ด้วยการใช้โหมด EV ตลอดเวลา
เงื่อนไข 30 กม. ที่ยกตัวอย่างมารถปลั๊กอินไฮบริดค่ายยุโรปทุกคันล้วนทำได้เป็นมาตรฐาน โดยหลังจากนี้เราจะพบเห็นรถที่วิ่งด้วยไฟฟ้าจากแบตเตอรีได้ระยะทางจริงราว 40-50 กม. และการใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพรวมถึงประหยัดเงินกว่าการเผาผลาญน้ำมันอย่างมาก
2.ขับแบบไม่เสียบปลั๊กเลยทำให้แบตเตอรีเสื่อมไว
หลังจากรู้แล้วว่าการขับรถปลั๊กอินไฮบริดให้คุ้มค่าที่สุดคือต้องชาร์จไฟเป็นประจำ แล้วเกิดเจ้าของรถคนไหนไม่ได้อยู่บ้านส่วนตัว แต่อาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ หรือที่ใดก็ตามที่ไม่ได้มีช่องจอดรถส่วนตัว นั่นทำให้เจ้าของรถเหล่านั้นแทบไม่มีโอกาสชาร์จไฟหลังจากกลับถึงที่พักได้เลย
ผลกระทบจากการขับรถปลั๊กอินไฮบริดแล้วไม่เสียบปลั๊กชาร์จไฟ ปล่อยให้กระแสไฟฟ้าในแบตเตอรีเหลือปริ่มๆ เพียง 1-2 ขีด เกือบตลอดเวลา ในระยะยาวแบตเตอรีจะลดทอนประสิทธิภาพในการกักเก็บไฟฟ้าอย่างมาก เมื่อเทียบกับคนที่หมั่นชาร์จไฟเป็นประจำทุกวัน แม้จะไม่ได้ชาร์จจนเต็มก็ถือว่าทำให้แบตมีความทนทานมากกว่า หากใครรู้ตัวว่าอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ดังกล่าวก็ควรหาโอกาสไปเสียบปลั๊กตามจุดชาร์จสาธารณะบ้าง อย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง
3.เครื่องยนต์ไม่สามารถชาร์จไฟจนเต็มได้
บางคนรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสชาร์จไฟตามจุดชาร์จสาธารณะ จึงเลือกใช้วิธีให้เครื่องยนต์ปั่นไฟฟ้าป้อนสู่แบตเตอรี ด้วยโหมด Charge ที่มีอยู่บนรถปลั๊กอินไฮบริดทุกคัน ซึ่งการใช้วิธีดังกล่าวทำให้คุณเสียน้ำมันมากเป็นพิเศษ และยังไม่สามารถชาร์จระดับไฟฟ้าจนเต็มแบตเตอรีได้อีกต่างหาก มากสุดที่ทำได้คือราว 70-80% ขึ้นอยู่กับระบบของรถแต่ละยี่ห้อ
อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้จริงๆ ก็ให้ขับใช้งานในโหมด Hybrid ที่ระบบจะจัดการเลือกใช้พลังงานจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งถ้าต้องการชาร์จไฟระหว่างขับขี่ก็ควรทำเมื่อเดินทางไกลขณะใช้ความเร็วคงที่ เพราะเครื่องยนต์จะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งส่งกำลังขับเคลื่อนไปพร้อมกับการชาร์จ และเราไม่แนะนำให้คุณกดปุ่ม Charge ขณะขับรถติดอยู่ภายในเมือง เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่รถจะใช้พลังงานสูงสุดนั่นเอง
4.แบตเตอรีเหลือน้อยไม่ได้แปลว่าสมรรถนะลดลง
ความเชื่อที่หลายคนได้ยินกันมาปากต่อปาก ว่ารถปลั๊กอินไฮบริดเมื่อแบตเตอรีลดลงจนหมดเมื่อใด พละกำลังขับเคลื่อนจะลดน้อยลงจากที่ระบุเอาไว้ในสเปก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแถบสถานะระดับแบตเตอรีที่โชว์อยู่บนจอแสดงข้อมูลการขับขี่ มิใช้ระดับกระแสไฟฟ้าจริงที่เหลืออยู่ของแบตเตอรี เนื่องจากทางผู้ผลิตได้เตรียมป้องกันมิให้กระแสไฟในแบตลดเหลือจนถึงโซนอันตราย โดยทั่วไประดับการเก็บประจุไฟฟ้าจริง หรือ State Of Charge (SOC) จะเหลืออยู่ประมาณ 20% ในกรณีที่ไฟสถานะแบตเตอรีโชว์ว่าไม่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้อีกต่อไป
นั่นหมายความว่าการขับรถ PHEV ที่หน้าจอโชว์ระยะทางวิ่งได้เหลือ 0 กม. ยังใช้อัตราเร่งได้เต็มสมรรถนะตามปกติเช่นเดิม โดยระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ชาร์จไฟเพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าแบตเตอรีให้อยู่ในโซนปลอดภัย ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็เหมือนกับการทำงานของรถไฮบริดทั่วไปนั่นเอง
รถปลั๊กอินไฮบริด PHEV คือตัวเลือกน่าสนใจสำหรับผู้มองหาความแรงไปพร้อมกับความประหยัด และในอนาคตชาวไทยจะได้ใช้รถชนิดดังกล่าวจากทางผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นรวมถึงจีนเร็วๆ นี้
August 27, 2020 at 08:44AM
https://ift.tt/31xCkKz
4 ข้อควรรู้ก่อนซื้อ "รถปลั๊กอินไฮบริด" มาใช้งาน - Top Gear Thailand
https://ift.tt/36KG1NQ
Home To Blog
No comments:
Post a Comment