อ็อกซ์แฟม (Oxfam) กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) มุ่งแก้ปัญหาความยากจนโลกในอังกฤษ เผยแพร่รายงานเรื่อง “เดอะ ฮังเกอร์ ไวรัส” เมื่อวันที่ 9 ก.ค. เตือนว่าอาจมีผู้เสียชีวิตจากภาวะหิวโหยอันเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 มากถึงวันละ 12,000 คน ภายในสิ้นปี 2563 หรือมากกว่าผู้เสียชีวิตรายวันจากเชื้อไวรัสโควิด-19
รายงานของอ็อกซ์แฟมเตือนด้วยว่าในปีนี้จะมีผู้คน 121 ล้านคนทั่วโลก ถูกผลักเข้าใกล้ริมขอบภาวะอดอาหารตาย อันเป็นผลกระทบจากการระบาดของไวรัสมรณะรวมทั้งการตกงานหมู่ ภาวะหยุดชะงักของกระบวนการผลิตและจัดส่งอาหาร รวมทั้งความช่วยเหลือที่ลดลง กลุ่มผู้เสี่ยงได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้หญิงและครอบครัวที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้วจากข้อกีดกันของระบบที่ทำให้หารายได้หรือครอบครองทรัพย์สินได้น้อยกว่าผู้ชาย
พื้นที่เผชิญความอดอยากหิวโหยรุนแรงที่สุด 10 แห่งในโลก อ็อกซ์แฟมยกเป็นตัวอย่างเช่น เวเนซุเอลาและซูดานใต้ ที่ซึ่งเกิดวิกฤติด้านอาหารร้ายแรงอยู่แล้วและยิ่งเลวร้ายหนักข้อจากผลของการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยยังพบปัญหาเดือดร้อนของผู้คนในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ด้วย เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้และบราซิล ซึ่งมาตรการเข้มงวดต่างๆ ทำให้คนงานระดับรากหญ้าและกลุ่มคนยากจนยิ่งเหลือหนทางทำมาหากินน้อย ส่วนมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลเหล่านี้ถือว่าไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกัน อ็อกซ์แฟมยังเสนอข้อมูลเปรียบเทียบถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างของความรวยจน เมื่อกลุ่มคนที่อยู่ระดับบนของสังคมยังคงเดินหน้าเก็บเกี่ยวผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากกลุ่มบริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลก 8 บริษัท ได้จ่ายเงินให้กลุ่มผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือน ม.ค. คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.62 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นยอดเงินสูงกว่ายอดเงินที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต้องการนำไปช่วยเหลือและแก้ปัญหาความยากจนอดอยาก แม้ทั้งโลกกำลังเผชิญการระบาดของไวรัสโควิด-19
อ็อกซ์แฟมระบุด้วยว่ารัฐบาลต่างๆสามารถช่วยชีวิตคนกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้หลายทางรวมทั้งการทุ่มสนับสนุนทุนเข้าโครงการรับมือผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ของยูเอ็นและส่งความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง.
อ่านเพิ่มเติม...
July 10, 2020 at 07:00AM
https://ift.tt/3iLzk3C
วอนช่วยก่อนคนหิวตายเป็นเบือเพราะไวรัสโควิด-19 - ไทยรัฐ
https://ift.tt/36KG1NQ
Home To Blog
No comments:
Post a Comment