นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท. ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เริ่มมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมด้วยวิธีการรวมหนี้ (debt consolidation) โดยวิธีการ คือ ลูกหนี้ที่มีปัญหาผ่อนจ่าย ประเภทบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สามารถนำหนี้ก้อนนี้มารวมกับสินเชื่อบ้านได้ เพื่อให้ดอกเบี้ยและค่างวดลดลง
ตัวอย่างการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้รายย่อยโดยวิธีการรวมหนี้
ก่อนรวมหนี้
ตัวอย่าง กรณีคิดจากสินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 4.5% เหลือเวลาผ่อน 60 งวด เงินต้น 2 ล้านบาท ค่างวดต่อเดือน 12,653 บาท ภาระหนี้คงเหลือ 759,180 บาท ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ย 25% เหลือเวลาผ่อน 24 งวด เงินต้น 400,000 บาท ค่างวดต่อเดือน 13,263 บาท ภาระหนี้คงเหลือ 318,312 บาท
หลังรวมหนี้
กรณีที่ 1 : ยืดระยะเวลาสินเชื่อรายย่อยอื่นให้เท่ากับสินเชื่อบ้านที่เหลือ เช่น สินเชื่อบ้านตามสัญญาก่อนรวมหนี้ เมื่อรวมกับสินเชื่อส่วนบุคคล จะลดดอกเบี้ยมาจาก 25% เหลือไม่เกิน MRR หรือเฉลี่ย 6.8% และขยายเวลาผ่อนให้เท่ากับสินเชื่อบ้านคือ 60 งวด ทำให้ค่างวดต่อเดือนของสินเชื่อส่วนบุคคลลดลงเหลือ 4,893 บาท ภาระลดลงถึง 63% มีหนี้คงเหลือ 293,580 บาท ภาระลดลง 8%
กรณีที่ 2 : ยืดระยะเวลาสินเชื่อรายย่อยอื่นออกไป แต่สั้นกว่าสินเชื่อบ้านที่เหลือ ตัวอย่างสินเชื่อบ้านตามเดิม เมื่อรวมสินเชื่อส่วนบุคคล คิดดอกเบี้ยไม่เกิน MRR แต่เวลาผ่อนเป็น 36 งวด ทำให้ค่างวดต่อเดือนของสินเชื่อส่วนบุคคลจะเหลือ 7,646 บาท ลดลง 42% แม้จะลดน้อยกว่ากรณีแรก แต่ภาระหนี้คงเหลือจะลดมากกว่าถึง 14% ทำให้เหลือคงค้าง 275,256 บาท
นางธัญญนิตย์ กล่าวว่า ถ้าลูกหนี้ใดไม่ได้มีสินเชื่อบ้านกับสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลในสถาบันการเงินเดียวกัน สามารถรีไฟแนนซ์บัตรที่การผ่อนจ่ายมีปัญหามายังธนาคารที่มีสินเชื่อบ้านอยู่ได้ เพื่อเข้าร่วมโครงการรวมหนี้รายย่อยนี้ได้เช่นเดียวกัน
“ถ้าลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจริง และรายได้ลดลง ไม่ว่าจะมาจากสงครามการค้า ภัยแล้ง หรือโควิด-19 แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน สามารถโทรแจ้งที่เบอร์ 1213 สายด่วนของศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน(ศคง.) ของธปท.ได้”
September 02, 2020 at 08:48AM
https://ift.tt/3bpDlrd
เปรียบเทียบก่อน-หลัง รวมหนี้ไร้หลักประกันกับสินเชื่อบ้าน - เดลีนีวส์
https://ift.tt/36KG1NQ
Home To Blog
No comments:
Post a Comment