Pages

Saturday, July 4, 2020

คอลัมน์การเมือง - จะเน้นใช้ยาก่อนหรือวัคซีนก่อน? - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

sebelumselamanya.blogspot.com

ขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงขยายตัวลุกลามอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาใต้ ในขณะที่ทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เริ่มบรรเทาเบาบางลงโดยลำดับ และสำหรับประเทศไทยนั้นไม่มีการแพร่ระบาดมานานกว่าเดือนหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาด

ซึ่งต้องตั้งข้อสังเกตกันให้ดีว่าโรคระบาดซึ่งระบาดในภูมิประเทศหนึ่งอาจจะไม่ใช่โรคระบาดในอีกภูมิประเทศหนึ่ง ดังเช่นไข้หวัดซาร์สหรือไข้หวัดนก ซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงในบางพื้นที่แต่ไม่ใช่โรคระบาดในประเทศไทย


โควิด-19 ก็เหมือนกัน แม้เป็นโรคระบาดแต่ก็ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไป จะมีการแพร่ระบาดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่แถบเส้นขนานที่ 40 หรือพื้นที่ที่มีสภาพหนาว เย็น และแห้ง โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 28 องศาเซลเซียส และจะระบาดมากสำหรับประเทศที่ประชากรมีภูมิต้านทานต่ำ

ประเทศไทยของเรามีอุณหภูมิเฉลี่ยกว่า 30 องศาเซลเซียสและนับแต่สมเด็จพระสังฆราชทรงทำพิธีสวดพระรัตนปริตรแล้ว นับแต่เวลานั้นถึงเที่ยงคืนมีฝนห่าใหญ่ตกในพื้นที่ถึง48 จังหวัด และนับตั้งแต่อรุณของวันรุ่งขึ้นตลอดมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2563 ปรากฏว่าอุณหภูมิประเทศไทยสูงมากผิดปกติอยู่ที่ระดับ 41-43 องศาเซลเซียส ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความชื้นสูง ดังนั้นสภาพอากาศจึงไม่เอื้อต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19

ทำให้เถยจิตของคนบางกลุ่มที่คิดแต่จะใช้เงินงบประมาณและใช้ไปในเรื่องเครื่องมือฉีดฆ่าเชื้อโดยนึกเอาเองหรือตามอย่างเขาโดยความไม่เข้าใจ จึงทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณไปหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้านำมาใช้แล้ว

เพราะองค์การอนามัยโลกได้ส่งคำเตือนว่าการฉีดยาฆ่าเชื้อไม่สามารถกำจัดโควิด-19 ได้ และสำหรับประเทศไทยก็มีข่าวคราวเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวนั้นแพงลิบลิ่ว ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ระดับเครื่องละ 10,000 บาท แต่กลับตั้งราคากลางจัดซื้อถึงเครื่องละ 75,000 บาท อีกไม่นานคงจะมีการตรวจสอบการทุจริตกันทั่วทั้งประเทศ เช่นเดียวกับการตรวจสอบการทุจริตเรื่องสนามฟุตซอลที่ ป.ป.ช. ต้องลงมติดำเนินคดีเป็นรายวันกันอยู่แล้ว

แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามโหมกระแสให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและอันตรายร้ายแรง ทำกันทุกวี่ทุกวัน ทำกันทุกสื่อ ทำกันทุกหนทุกแห่ง และไม่ว่าจะทำกันประการใดๆ โควิด-19 ก็กลับไม่ระบาดในประเทศไทยดังความประสงค์ของคนเหล่านั้น

โควิด-19 เข้ามาระบาดในประเทศไทยจากแหล่งที่มาสามแหล่ง คือ

จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีผู้ไปติดเชื้อมาและมาแพร่ระบาดเริ่มที่สนามมวยลุมพินี ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด

จากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีวิตกกันว่าการรับคนไทยกลับมาจากเมืองอู่ฮั่นจะเป็นเหตุให้มีการแพร่ระบาดอย่างขนานใหญ่แต่ด้วยพระบารมีปกเกล้าและด้วยการสนองอย่างเข้มแข็งของกองทัพเรือ กระบวนการกักตรวจครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ไม่ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อจากผู้ที่กลับมาจากเมืองอู่ฮั่นเลย

จากการหนีข้ามแดนมาจากประเทศมาเลเซียและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชายแดนตรวจจับเข้าควบคุมกักตรวจ ซึ่งมีการติดเชื้อบ้างในพื้นที่แคบๆ แต่ด้วยความปรีชาสามารถและความใส่ใจของผู้เกี่ยวข้องจึงสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้สำเร็จและรักษาผู้ป่วยหายเกือบหมด มีผู้เสียชีวิตเพียง 1-3 คนเท่านั้น

นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีการติดเชื้อมาจากที่อื่นอีก ยกเว้นการอิมพอร์ตคนเข้ามาจากต่างประเทศสู่กระบวนการกักตรวจและตรวจพบ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการระบาดในประเทศและได้รับการเยียวยารักษาให้หายเป็นปกติได้

เพราะความพรั่งพร้อมของประเทศไทยในเรื่องสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้แก่โรงพยาบาลจำนวนมากทั่วประเทศ และราษฎรก็ได้โดยเสด็จฯร่วมกันบริจาคเงินเข้าสมทบ ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ อสม. ถึง 1,200,000 คน และหน่วยอาสาพระราชทานร่วม 3,000,000 คนทั่วประเทศช่วยควบคุมดูแลในทุกหมู่บ้านทุกตำบล จึงทำให้ไม่มีการแพร่ระบาดในพื้นที่ทั่วไปของประเทศไทย

นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดเป็นต้นมา มีผู้ป่วยสูงสุดระดับ 3,000 คน มีผู้เสียชีวิตระดับ 5,000 คน ตัวเลขต่างกันอย่างลิบลับกับพวกที่สร้างกระแสตื่นตกใจที่ปั่นกระแสว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้คนไทยป่วยถึง 350,000 คน และมีผู้เสียชีวิตถึง 25,000 คน และบัดนี้ความจริงก็ได้เปิดเผยให้เห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งควรที่คนเหล่านั้นจะรู้สึกสำนึกผิดบาป ยุติการก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองเสียที

ตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการระบาดทั่วโลกไม่มีใครทราบว่าจะต้องใช้ยาใดรักษา ซึ่งปกติการค้นคว้าก็จะต้องใช้เวลาหลายปี เช่นเดียวกับการคิดค้นวัคซีนก็ต้องใช้เวลา 2-3 ปี แต่แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง โรงพยาบาลราชวิถีได้ค้นพบว่ายาค็อกเทลที่องค์การเภสัชกรรมผลิตใช้มาร่วม 20 ปีแล้วสามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ในเวลาเพียง 4 วัน และยังค้นพบวิธีการใช้พลาสมารักษาโควิด-19 ให้หายได้ในเวลาแค่24 ชั่วโมง จนเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่วโลก และหลายประเทศก็ได้นำแบบแผนนี้ไปใช้และประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

ควรที่ประเทศไทยจะได้เป็นผู้นำในการใช้ยาและแบบแผนการรักษารับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยเหลือประเทศต่างๆ ให้พ้นจากภัยพิบัติ แต่ก็หาได้มีการกระทำการเช่นนี้ไม่

กลับปกปิดความจริงและหันไปสนับสนุนให้ตั้งตารอการผลิตวัคซีนซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมีใช้ และท่ามกลางการรอคอยนั้นก็สร้างกระแสให้ออกมาตรการนานาชนิดที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าไปตามปกติ ธุรกิจไม่สามารถเปิดปกติได้ ผู้คนไม่สามารถกลับเข้าทำงานตามปกติได้ เกิดความพินาศวายวอดให้แก่ประเทศชาตินับสิบล้านล้านบาท

สถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงถึงเวลาที่ต้องตั้งหลักพิจารณาว่าเราจะเน้นการใช้ยารับมือกับโควิด-19 หรือว่าจะตั้งตารอวัคซีนมาโปรดบนความพินาศของประเทศชาติและประชาชน!

Let's block ads! (Why?)


July 05, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/2C6vhOF

คอลัมน์การเมือง - จะเน้นใช้ยาก่อนหรือวัคซีนก่อน? - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://ift.tt/36KG1NQ
Home To Blog

No comments:

Post a Comment